วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ฺBlogนี้เกี่ยวกับอะไร


ตู้ยาริมรั้ว

 
                                         แหล่งที่มารูปภาพ www.ingredientsnetwork.com

 ตู้ยาริมรั้วจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรที่หาง่ายๆตามริมรั้วบ้าน
จะกล่าวถึงสรรพคุณทางยาของสมุนไพร สมุนไพรรักษาอะไรได้บ้าง
ลองเข้ามาอ่านกันนะคะ

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ตะไคร้


ตะไคร้


                                                                                                              แหล่งที่มารูปภาพ : robinherb
                   ตะไคร้ เป็นสมุนไพ เป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาประกอบอาหาร สรรพคุณของคะไคร้ เช่น ยาบำรุงธาตุ ช่วยในการเจริญอาหาร ขับสารพิษในร่างกาย ลดไข้ ลดความดัน บรรเทาอาหารปวด แก้อาเจียน ขับปัสสาวะ รักษานิ่ว รักษาโรคผิวหนัง ช่วยขับลมในลำไส้ แก้โรคหืด แก้อหิวาตกโรค บำรุงสมอง บำรุงผิว บำรุงระบบประสาท เป็นต้น
                  ตะไคร้ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Lemongrass ชื่อวิทยาศาสตร์ ของตะไคร้ คือ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf ตะไคร้มีประโยชน์ เป็นทั้งยารักษาโรค และมีประโยชน์ทางโภชนาการสูง เช่น วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น
                  ตะไคร้(Lemongrass) เป็นพืชตระกูลหญ้า เป็นพืชล้มลุก ใบของตะไคร้เป็นเรียวยาว ใบมีขน ทั้งต้นตะไคร้มีกลิ่นฉุน สามารถขยายพันธ์โดยแตกหน่อ เราสามารถแบ่งตะไคร้ได้เป็น 6 ชนิด ได้แก่ ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และตะไคร้หางสิงห์ ซึ่งตะไคร้เป็นสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย พม่า ศรีลังกา และไทย
                  การปลูกตะไคร้ เราใช้การปักชำลำต้นของตะไคร้ ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย เป็นพืชที่ชอบน้ำ ชอบแดด เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกประเภท
สรรพคุณของตะไคร้ มีมากมาย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ทั้งต้น หัว ราก ต้น ใบ
ทั้งต้นของตะไคร้ นิยมใช้เป็นยา ใช้รักษาโรคหอบหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยทำเป็นยาทานวด นำมารับประทาน ช่วยบำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร และขับเหงื่อได้
หัวของตะไคร้ นำมาใช้เป็นยา ใช้รักษากลากเกลื้อน แก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะขัด รักษานิ่ว บำรุงไฟธาตุ เป็นยาแก้อาเจียน ยาลดความดันโลหิตสูง แก้กษัยเส้น และแก้ไข้ เป็นต้น
รากของตะไคร้ สามารถใช้แก้ปวดท้อง และรักษาอาการท้องเสีย
ต้นตะไคร้ สามารถนำมาใช้เป็น ยาขับลม แก้อาการเบื่ออาหาร ขับปัสสาวะ รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ รักษานิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุ รักษาโรคหนองใน และช่วยดับกลิ่นคาวอาหารได้ด้วย
ใบสดของตะไคร้ นำมาใช้เป็นยาแก้ไข้หวัด ลดอาการไอ รักษาโรคความดันโลหิตสูง บรรเทาอาการปวดได้ แก้อาการปวดศีรษะ
สรรพคุณอื่นๆของตะไคร้ เช่น ช่วยไล่แมลง ล้างสารพิษในร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร ช่วยซ่อมแซมและบำรุงระบบประสาท ช่วยรักษาอาการอักเสบ ช่วยบำรุงผิว

แหล่งที่มาข้อมูล : http://beezab.com/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C/

กระชาย


กระชาย


                                                                                     แหล่งที่มารูปภาพ : สุขภาพ - กระปุกดอทคอม
                 กระชาย เป็นสมุนไพร ตระกูลโสม หลายคนเรียกว่า โสมไทย เป็นสมุนไพรสำหรับท่านชาย สรรพคุณของกระชาย เช่น ช่วยดูแลช่องปาก ดูแลเหงือกและฟัน แก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ ช่วยขับลม บำรุงหัวใจ เพิ่มสมรถภาพทางเพศ ปรับสมดุลย์ฮอร์โมนร่างกาย แก้กระดูกเสื่อม กระชายยอดสมุนไพรบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง ช่วยให้เจริญอาหาร
                 กระชาย หรือ ขิงจีน ภาษาอังกฤษ เรียก Fingerroot มีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Boesecnergia pandurata (Roxb.)Schltr. ชื่ออื่น ของกระชาย เช่น ว่านพระอาทิตย์ กระแอน ระแอน ขิงทราย จี๊ปู ซีฟู เป๊าะสี่ เป๊าซอเร้าะ เป็นต้น นักโภชนาการ พบว่า ในกระชายประกอบไปด้วย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี1 วิตามินบี3 วิตามินซี และไนอาซิน เหง้าของกระชายจะมีน้ำมันหอมละเหย ซึ่งมีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย แบคทีเรียในลำไส้และแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง นอกจากนั้น น้ำมันหอมระเหย ยังสามารถช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยเจริญอาหารได้ดี
                  กระชาย เป็นพืชล้มลุก มีความสูงประมาณ 1 เมตร ใบมีกลิ่นหอม ดอกของกระชายจะมีสีม่วง ดอกจะออกเป็นช่อ การขยายพันธุ์กระชาย โดยส่วนเหง้า กระชายชอบดินที่ร่วนซุย การระบายน้ำได้ดี ดินเหนียว

สรรพคุณทางยาของกระชาย กระชายสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายส่วน ทั้ง ใบ หัว ราก รายละเอียด ดังนี้
เหง้าและรากของกระชาย มีรสเผ็ด ร้อน ขม แก้ปวดท้อง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ลมจุกเสียด แก้บิด แก้โรคกระเพาะ ช่วยขับปัสสาวะ ใช้รักษาริดสีดวงทวาร รักษาแผลในปาก แก้ตกขาว กลาก เกลื้อน ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหารและแก้โรคในช่องปาก
แหล่งที่มาข้อมูล : http://beezab.com/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A8/

มะละกอ


มะละกอ


                                                                                                  แหล่งที่มารูปภาพ สุขภาพ - Kapook
                  มะละกอ ผลไม้ สมุนไพร สรรพคุณ ช่วยดูแลช่องปาก ดูแลเหงือกและฟัน ช่วยยาถ่ายพยาธิ ช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย บำรุงสายตาและระบบประสาท ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน สารต้านอนุมูลอิสระ มะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดที่ทวีปอเมริกา ชาวต่างชาตินำเข้ามา ซึ่งปัจจุบันมะละกอเถือเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย
                 มะละกอ ภาษาอังกฤษ เรียก papaya มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carica papaya L ชื่ออื่นของมะละกอ เช่น บักหุ่ง ก้วยลา แตงต้น มะก้วยเทศ มะเต๊ะ ลอกอ เป็นต้น ในมะละกอให้คุณค่าทางอาหารมากมาย นักโภขนาการ พบว่าในมะละกอ 100 กรัม ให้พลังงาน 23 กิโลแคลอรี มีสารอาหารประกอบด้วย เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม เส้นใยอาหาร 1.3 กรัม วิตามิน ซี 34 มิลลิกรัม วิตามิน บี 2 0.2 มิลลิกรัม วิตามิน บี 1 0.5 มิลลิกรัม แคลเซี่ยม 13 มิลลิกรัมฟอสฟอรัส 13 มิลลิกรัม
               มะละกอ เป็นไม้เนื้ออ่อน ความสูงประมาณ 8 เมตร ลำต้นตั้งตรง ใบของมะละกอ ออกเป็นแฉก มีรอยเว้าเล็กๆเหมือนขนนก ดอกของมะละกอ มีสีเหลือง กลีบดอกจะบางและยาวประมาณ 2 เซ็นติเมตร ผลของมะละกอ มีลักษณะยาวกลม ผลดิบของมะละกอจะมีสีเขียว เมื่อผลแก่จะมีสีเหลือง มีรสหวาน เมล็ดของผลมะละกอจะสีดำ การขยายพันธุ์มะละกอสามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
สรรพคุณทางยาของมะละกอ มีมากมาย ดังนี้
ผลของมะละกอ ทั้งผลดิบและผลสุก นำมาต้มกิน สามารถช่วย ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน ขับน้ำเหลือง บำรุงน้ำนม ขับพยาธิ รักษาโรคริดสีดวงทวาร ผลมะละกอมี แคลเซี่ยม ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน  มีวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีและช่วยป้องกันเลือดอกตามไรฟัน มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตาและระบบประสาท
ผลสุกของมะละกอ สามารถใช้เป็นยาระบาย ในอาการท้องผูกได้ดี
ยางจากผลดิบของมะละกอ สามารถใช้เป็นยาช่วยย่อย และฆ่าพยาธิ
รากของมะละกอ ใช้ขับปัสสาวะได้ดี
แหล่งที่มาข้อมูล : http://beezab.com/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/

ขี้เหล็กเทศ


ขี้เหล็กเทศ


                                                                                                       แหล่งที่มารูปภาพ : AROKA108.com
                   ขี้เหล็กเทศ ภาษาอังกฤษ เรียก Coffea senna ชื่อวิทยาศาสตร์ของขี้เหล็กเทศ คือ Senna occidentalis (L.) Link เป็นพืชตระกูลถั่ว ชื่ออื่น ๆของขี้เหล็กเทศ คือ ขี้เหล็กเผือก ผักเห็ด ลับมืนน้อย หมากกระลิงเทศ ขี้เหล็กผี ชุมเห็ดเล็ก พรมดาน ชุมเห็ดเทศ ผักจี๊ด กิมเต่าจี้ ม่อกังน้ำ ว่างเจียงหนาน คางเค็ด ผักเค็ด ผักเคล็ด เลนเค็ด
                   หากจะกล่าวถึงขี้เหล็กเทศ เป็นพืชมีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ สามารถปลูกได้ในประเทศเขตร้อนชื้น โดยจะขึ้นพื้นที่โล่ง รกร้าง ตามไหล่เขา ริมคลอง ยอดอ่อนและใบถูกนำมาเป็น ส่วนผสมสำหรับทำ แกงเลียง แกงเผ็ด ต่างก็ใช้ขี้เหล้กเทศ มีความอร่อยของอาหาร มีการนำเมล็ดของขี้เหล็กเทศมาบดดื่มแทนชาและกาแฟ แต่การรับประทานขี้เหล็กเทศต้องบริโภคในปริมาณที่เหมาะสำ หากรับประทานมากเกินไปจะเป็นพิษต่อกระเพาะอาหาร ต่อตับ ระบบเลือด หัวใจ ปอดและลำไส้ได้ ซึ่งพิษของขี้เหล็กเทศอยู่ที่เมล็ด แต่ประโยชน์ของขี้เหล็กเทศ คือ ใช้บำรุงร่างกาย  รักษาแผลในหู เป็นยาเย็น แก้ไข้มาลาเรีย เป็นยาขับปัสสาวะ ฆ่าเชื้อโรค รักษาโรคทางเดินปัสสาวะและนิ่ว รักษาโรคหนองใน รักษาโรคหัวใจ ใช้ลดความดันโลหิต เป็นยาแก้วิงเวียน รักษาอาการตาบวมแดง เป็นยาแก้ตาแดงตาอักเสบ แก้ไอ หอบหืด แก้ร้อนในปาก ยาบำรุงกระเพาะอาหาร แก้ปวดกระเพาะอาหาร ช่วยรักษาระบบการย่อยอาหารไม่ดี แก้ปวดกระเพาะอาหาร ใช้รักษาโรคเบาหวาน แก้ปวดหัว แก้ปวดฟัน ยาลดไข้ เป็นยาถ่าย ยาระบาย เป็นยาถ่ายพยาธิ รักษาโรคผิวหนัง ใช้ทารักษากลากเกลื้อน ผิวหนังพุพอง โรคผิวหนังอักเสบ โรคผิวหนังต่าง ๆ ใช้เป็นยาถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
                  จากข้อมูลทางเภสัชศาสตร์ได้ศีกษาขี้เหล็กเทศ พบว่าในขี้เหล็กเทศมีสาร เช่น Aloe-emodin, Cassiollin, Chrysophanol, Dianthronie heteroside, Emodin, Homodianthrone, Islandicin, N-methylmorpholine alkaloid, Physcion, Physcion-l-glycoside, Physcion homodianthrone, Toxalbulmin, Rhein, กรดอะมิโน, น้ำมันหอมระเหย แต่มีงานวิจัย พบสารที่สกัดจากใบและเปลือกของขี้เหล็กเทศ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยกระตุ้นหัวใจ และฆ่าได้ มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ กระตุ้นลำไส้ ช่วยในการขับถ่าย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
ลักษณะของต้นขี้เหล็กเทศ ต้นขี้เหล็กเทศเป็นพืชล้มลุก อายุยืน ความสูงไม่เกิน 2 เมตร ลำต้นสีเขียว เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด  ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด  ใบของต้นขี้เหล็กเทศเป็นใบประกอบ แบบขนนกปลายคู่ ดอกต้นขี้เหล็กเทศ ออกเป็นช่อจะออกตามปลายกิ่ง ผลของต้นขี้เหล็กเทศ มีลักษณะเป็นฝัก ฝักอ่อนเป็นสีเขียว ส่วนฝักแก่เป็นน้ำตาล
สรรพคุณของขี้เหล็กเทศ การนำเอาขี้เหล็กเทศมาใช้ประโยชน์ทางสมุนไพร ต้องระมัดระวังการใช้งาน เนื่องจากตัวขี้เหล็กเทศ มีพิษ ซึ่งพิษของขี้เหล็กเทศจะเป็นพิษต่อกระเพาะอาหาร ต่อตับ ระบบเลือด หัวใจ ปอดและลำไส้ได้ โดยประโยชน์ของขี้เหล็กเทศ สามารถนำมาใช้ได้ทั้ง เมล็ด เปลือก รากและใบ โดยรายละเอียด ดังนี้
รากของขี้เหล็กเทศ ใช้บำรุงร่างกาย  รักษาแผลในหู เป็นยาเย็นดับพิษร้อนในร่างกาย แก้ไข้มาลาเรีย เป็นยาขับปัสสาวะ ฆ่าเชื้อโรค รักษาโรคทางเดินปัสสาวะและนิ่ว รักษาโรคหนองใน
เมล็ดของขี้เหล็กเทศ ใช้บำรุงธาตุ รักษาโรคหัวใจ ใช้ลดความดันโลหิต เป็นยาแก้วิงเวียน รักษาอาการตาบวมแดง เป็นยาแก้ตาแดงตาอักเสบ แก้ไอหอบหืด แก้ร้อนในปาก ยาบำรุงกระเพาะอาหาร แก้ปวดกระเพาะอาหาร ช่วยรักษาระบบการย่อยอาหารไม่ดี ยาบำรุงกระเพาะอาหาร แก้ปวดกระเพาะอาหาร ช่วยรักษาระบบการย่อยอาหารไม่ดี
เปลือกของขี้เหล็กเทศ ใช้รักษาโรคเบาหวาน รักษาไข้มาลาเรีย รักษาโรคหนองใน
ใบของขี้เหล็กเทศ ใช้ แก้ปวดหัว แก้ปวดฟัน รักษาอาการตาบวมแดง เป็นยาแก้ตาแดงตาอักเสบ ยาลดไข้ แก้ไอหอบหืด แก้ร้อนในปาก ยาบำรุงกระเพาะอาหาร แก้ปวดกระเพาะอาหาร ช่วยรักษาระบบการย่อยอาหารไม่ดี เป็นยาถ่าย ยาระบาย เป็นยาถ่ายพยาธิ รักษาโรคหนองใน เป็นยารักษาโรคผิวหนัง ใช้ทารักษากลากเกลื้อน ผิวหนังพุพอง โรคผิวหนังอักเสบ โรคผิวหนังต่าง ๆ ใช้เป็นยาถอนพิษ ใช้รักษาแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อควรระวังในการใช้ประโยชน์จากขี้หล็กเทศ เนื่องจากขี้เหล็กเทศมีพิษ ซึ่งต้องกำจัดพิษของขีเหล็กเทศก่อน โดยพิษของขี้เหล็กเทศมีโปรตีนที่เป็นพิษ โดยการกำจัดพิษ สามารถทำได้โดยการนำเมล็ดไปคั่วจนเป็นสีน้ำตาลและมีกลิ่นหอมเสียก่อน หากไม่กำจัดพิษ หรือกำจัดพิษไม่หมด จะมีอาการอาเจียนและท้องร่วงอย่างรุนแรง ให้รีบล้างท้องและนำส่งแพทย์โดยด่วน
แหล่งที่ข้อมูล http://beezab.com/%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/

ขิง


ขิง




                                                                                                         แหล่งที่มารูปภาพ : MedThai

                   ขิง สมุนไพรไทย ที่มีสรรพคุณต่างๆ มากมาย ขิงนิยมนำมาทำอาหาร สรรพคุณทางสมุนไพรของขิง ประกอบด้วย ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น และยังแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้นิ่ว บำรุงธาตุไฟ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้บิด แก้อาเจียน รักษาไข้หวัด ลดไข้  ขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ปวดประจำเดือน รักษาแผล แก้ปวดฟัน ลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงเลือด ลดกรดในกระเพาะอาหาร ป้องกันฟันฝุ ขิงเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่มีความต้องการของตลาดสูงมาก นิยมนำมาทำเป็นวัตถุดิบประกอบอาหาร ใช้ในอุตสาหกรรมความงาม อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป
                   ขิง เป็นพืชที่พบได้ในทั่วทุกภาคของประเทศไทย ขิงมีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า zingiber offcinale Roscoe ภาษาอังกฤษ เรียก Ginger ชื่ออื่นๆของขิง เช่น ขิงแครง ขิงเขา ขิงบ้าน ขิงป่า ขิงดอกเดียว ขิงแดง ขิงแกลง ขิงเผือก
ขิง เป็นพืชล้มลุก มีเหง้าลักษณะคล้ายมือ เปลือกเหง้าจะมีสีเหลืองอ่อน ขิงเป็นพืชชนิดเดียวกันกับ ข่า ขมิ้น ซึ่งขิงมีรสเผ็ดและกลิ่นหอม แต่ผลยิ่งแก่จะมีรสเผ็ดร้อนมากขึ้น ลำต้นเป็นกอมีความสูงประมาณ 100 เซนติเมตร ใบของขิง เป็นกาบหุ้มซ้อนกันเป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว เหมือนใบไผ่ ปลายใบจะเรียวแหลม ดอกของขิง จะมีสีขาว ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม
สรรพคุณทางสมุนไพรไทยของขิง ขิงนิยมยำเหง้ามาใช้ประโยชน์
ขิง ในตำราสมุนไพรไทยบอกว่าขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น และยังแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้นิ่ว บำรุงธาตุไฟ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้บิด แก้อาเจียน รักษาไข้หวัด ลดไข้  ขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ปวดประจำเดือน รักษาแผล แก้ปวดฟัน ลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงเลือด ลดกรดในกระเพาะอาหาร ป้องกันฟันฝุ
น้ำขิงมาใช้ประโยชน์ทางสมุนไพร ทำอย่างไร แก้อาเจียน อาการเบื่ออาหาร ช่วยขับลมในกระเพาะ รักษาไข้หวัดได้  ช่วยขับเหงื่อ ลดอาการไข้ ช่วยบรรเทาอาหารไอ อาการเจ็บคอ ช่วยรักษาอาการปวดประจำเดือน แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง
นำขิงมาเผาให้สุก และนำมาพอกแผล สามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้
นำขิงแก่มาบดละเอียด และนำไปคั่วกับน้ำสารส้ม คั่วจนเกรียม นำมาพอกฟัน แก้ปวดฟันได้
แหล่งที่มาข้อมูล : http://beezab.com/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3-ginger/

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ตำลึง

ตำลึง


                                                                       แหล่งที่มารูปภาพ : www.tnews.co.th
          ตำลึง เป็นสมุนไพร ที่นิยมปลูกริมรั้วบ้าน จะพบได้มากในครอบครัวไทย สรรพคุณของตำลึงช่วยแก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ ช่วยขับลม บำรุงสายตา รักษาหลอดลมอักเสบ รักษาเบาหวาน แก้แมงสัตว์กัดต่อย ช่วยบำรุงกระดูก บำรุงฟัน ป้องกันมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด บำรุงเลือด ใช้ลดไข้ รักษาแผล รักษาหิด
          ตำลึง ภาษาอังกฤษ เรียก Lvy Gourd, Coccinia มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Cocconia grandis (L.) Voigt ชื่ออื่น ๆ ของผักตำลึง เช่น ผักแคบ แคเด๊าะ สี่บาท ผักตำนินตำลึงนิยมนำมาทำอาหาร ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการของตำลึง 100 กรัม จะมี วิตามินบี1 0.17 มิลลิกรัม โปรตีน 3.3 กรัม แคลเซียม 126 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 699.88 ไมโครกรัม  ไนอาซีน 1.2 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 13 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม  และใยอาหาร 2.2 กรัม

สรรพคุณของตำลึง 

                     เราสามารถนำตำลึงมาใช้ได้ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็น ใบ ดอก เมล็ด ราก เถา รายละเอียดการใช้ประโยชน์ของตำลึงมีดังนี้

ใบของตำลึง เป็นยาลดวามร้อนในร่างกาย นำมาบดเป็นยาพอกผิวหนัง แก้ผื่นคันจากหมามุ้ย ต้นตำแย แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้แมลงสัตว์กัดต่อย รักษาผื่นคันที่เกิดจาก หมามุ่ย ตำแย  นำมารับประทาน แก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ แก้จุกเฉียด
ดอกของตำลึง นำมาใช้รักษาอาการคันผิวหนัง
เมล็ดของตำลึง นำมาผสมกับน้ำมันมะพร้าว ใช้ทาแก้หิด
รากของตำลึง นำมาใช้ ลดไข้ แก้อาเจียน ลดความอ้วน แก้ฝี แก้ปวดบวม แก้พิษร้อนใน แก้พิษแมลงป่องหรือตะขาบข่อย
เถาของตำลึง นำมาชงกับน้ำดื่มแก้อาการวิงเวียนศรีษะ  นำมาบดใช้พอกผิวหนังแก้โรคผิวหนัง เถาของตำลึงมีสรรพคุณ ลดระดับน้ำตาลในเลือด

แหล่งที่มาข้อมูล :http://beezab.com/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B2/

สะเดา

สะเดา


                                                                       แหล่งที่มารูปภาพ : www.kasetorganic.com

              สะเดา เป็นผักพื้นบ้าน สมุนไพร ที่มีรสขม สรรพคุณ ช่วยดูแลช่องปาก ดูแลเหงือกและฟัน ช่วยยาถ่ายพยาธิ รักษาโรคผิวหนัง ลดความดันโลหิต ลดไข้ ไล่แมลง แก้อ่อนเพลีย ช่วยเจริญอาหาร สมุนไพรรสขม ประโยชน์ของสะเดา เป็นยาดีที่ควรมีไว้ใกล้ตัว

             ในประเทศไทยเราพบว่า สะเดาสามารถการกระจายพันธุ์อยู่ตามธรรมชาติตามป่าเบญจพรรณและป่าแดง ทั่วประเทศ  นอกจากนี้ยังสามารถพบสะเดาได้ตามป่าแล้งในประเทอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า ปากีสถานและศรีลังกา สะเดาภาษาอังกฤษ เรียก Siamese neem tree. มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Azadirachta indica A. Juss. Var. siamensis Veleton. ชื่ออื่นๆของสะเดา เช่น สะเลียม กะเดา จะตัง สะเดาบ้าน เดา กระเดา จะดังสะเดา เป็นไม้ยืนต้น มีความสูงประมาณ 7 เมตร ใบของสะเดาเป็นแบบขนนก เรียงสลับใบ ยอดอ่อนของใบมีสีน้ำตาลอมแดง ดอกของสะเดา จะออกบริเวณปลายของกิ่ง และจะดอกสะเดาจะออกเมื่อใบของสะเดาแก่และร่วงไป ดอกสะเดามีกลีบดอกสีขาวและมีกลิ่นหอม ผลของสะเดา มีลักษณะเป็นรูปรี กลม จะตัง ผักสะเลม ลำต๋าว สะเรียม ตะหม่าเหมาะ ควินิน สะเดาอินเดีย ไม้เดา เป็นต้น

การปลูกสะเดา 

              สามารถปลูกได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และก่อนปลูกควรไถพรวนแปลงอีกรอบ และตากดินนาน 3-5 วัน วิธีการปลูก เตรียมต้นกล้าสำหรับปลูกที่มีอายุ 3-5 เดือน และมีความสูงประมาณ 20 เซ็นติเมตร จากนั้นนำลงแปลงปลูก ขุดหลุมในระยะระหว่างหลุมประมาณ 3 เมตร ควรให้ขนานกับแนวของดวงอาทิตย์ในทิศตะวันออก-ตะวันตก เพื่อให้ต้นสะเดาสามารถรับแสงได้อย่างทั่วถึง
               นักโภชนาการได้ศึกษา คุณค่าทางอาหารของสะเดา พบว่า ยอดสะเดา 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 76 กิโลแคลอรี ซึ่มประกอบไปด้วยน้ำ 77.9 กรัม แคลเซี่ยม 354 มิลลิกรัม โปรตีน 5.4 กรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม คาร์โบไฮเดรต 12.5 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม กากใยอาหาร 2.2 กรัม ธาตุเหล็ก 4.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 194 มิลลิกรัม วิตามินบีหนึ่ง 0.06 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 3611 ไมโครกรัม วิตามินบีสอง 0.07 มิลลิกรัม ในสะเดาพบว่ามีสารสำคัญที่มีประโยชน์ เช่น ในใบสะเดามี quercetin และสารพวก limonoid ได้แก่ nimbolide และ nimbic acid ในเมล็ดสะเดามี Azadirachtin ประมาณ 0.4-1% ในเปลือกต้นสะเดามีสาร nimbin และ desacetylnimbin
สรรพคุณทางสมุนไพรของสะเดา 
                สามารถนำส่วนต่างๆมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น ยอดอ่อน ขนอ่อน เปลือกต้น ก้ายใบ กระพี้ ยาง แก่น ราก ใบ ผล เมล็ด รายละเอียดดังนี้
ดอกสะเดาและยอดอ่อนสะเดา สามารถใช้ แก้พิษโลหิต หยุดเลือดกำเดา รักษาริดสีดวงในลำคอ บำรุงธาตุ ช่วยขับลม
ขนอ่อนสะเดา สามารถใช้ถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ
เปลือกต้นสะเดา ใช้ลดไข้ ช่วยเจริญอาหาร แก้ท้องเดิน
ก้านใบสะเดา สามารถใช้ลดไข้ นำมาทำเป็นยารักษาโรคมาลาเรีย
กระพี้ สามารถใช้รักษาถุงน้ำดีอักเสบ
ยางของต้นสะเดา ใช้ในการดับพิษร้อน
แก่นสะเดา รักษาอาการแก้อาเจียน ช่วยขับเสมหะ
รากสะเดา สามารถนำมาใช้รักษาโรคผิวหนัง ขับเสมหะ
ใบสะเดา ละผลสะเดา สามารถใช้ทำเป็นยาฆ่าแมลง และบำรุงธาตุ ผลของสะเดา จะมีรสขม นิยมนำมาใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ เป็นยาระบาย รักษาโรคหัวใจเดินผิดปกติ
เปลือกของรากสะเดา จะมีรสฝาด ใช้ลดไข้ ทำให้อาเจียน และใช่รักษาโรคผิวหนัง
เมล็ดสะเดา สามารถนำมาสกัดน้ำมัน และสามารถใช้รักษาโรคผิวหนัง และทำเป็นยาฆ่าแมลง
ข้อควรระวังในการบริโภคสะเดา
1. ห้ามบริโภคสะเดาในคนที่มีความดันต่ำ เนื่องจากสะเดามีฤทธ์ให้ความดันโลหิตต่ำลง
2. สะเดา เป็น ยาเย็น มีรสขมอาจทำให้ท้องอืด เกิดลมในกระเพาะได้
3. ในสตรีหลังคลอด ไม่ควรรับประทาน เพราะจะทำให้น้ำนมแห้ง


ชะอม

ชะอม


                                               แหล่งที่มารูปภาพ : www.biogang.net

                  ชะอม เป็นสมุนไพร ที่มีสรรพคุณ ช่วยแก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ ขับลม บำรุงกระดูกและฟัน บำรุงสายตา บำรุงโลหิต ยาระบาย ใช้ลดไข้ ชะอมจะเป็นพืชที่มีกลิ่นฉุน นิยมนำมาประกอบอาหาร ชะอม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Acacia Pennata (L.) Willd.Subsp.InsuavisNielsen ภาษาอังกฤษ เรียก Acacia pennata ชื่ออื่นๆของชะอม เช่น ผักหละ ผักลำ ผ้าห้า ผักป่า ผักแก่ ผักขา

                ชะอม เป็นไม้พุ่ม ขนาดไม่สูง ก้านของชะอมจะมีหนามแหลม ใบมีขนาดเล็ก คล้ายใบกระถิน ใบอ่อนของชะอมมีกลิ่นฉุน ปลายใบแหลม ดอกของชะอม มีสีขาว ดอกขนาดเล็ก ผลของชะอมเป็นฝัก

                นักโภชนาการได้สำรวจคุณค่าทางอาหารของชะอม โดยพบว่า ยอดชะอม 100 กรัม สามารถให้พลังงานกับร่างกาย 57 กิโลแคลอรี่ มีเส้นใยอาหารอยู่ 5 กรัม แคลแซียม 58 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4 มิลลิกรัม วิตามินเอ 0.05 มิลลิกรัม วิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.25 มิลลิกรัม ในอาซิน 1 มิลลิกรัม วิตามินซี 58 มิลลิกรัม

การนำชะอมมาใช้ประโยชน์ สามารถนำมาใช้ได้ทั้ง ใบ และ ราก รายละเอียด ดังนี้
ใบชะอม สามารถช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ ใช้ลดไข้
รากชะอม นำมาต้มรับประทาน จะช่วยแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ลดกรดในกระเพาะอาหาร จุกเสียดแน่นท้อง และช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร
ยอดชะอม มีคุณค่าทางอาหาร เช่น แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี ธาตุเหล็ก สามารถใช้ บำรุงเลือด บำรุงกระดูก บำรุงสายตา ได้

แหล่งที่มาข้อมูล : http://beezab.com/%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94/

กานพลู

กานพลู


                                                      แหล่งที่มาภาพ : www.fine-t.org
                กานพลู สมุนไพร มีสรรพคุณ ใช้บำรุงเหงือกและฟัน ดูแลช่องปาก แก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ ช่วยขับลม ลดการเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ขับของเสียออกจากร่างกาย ขับน้ำคาวปลา ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้  กานพลู เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ชอบความชื้นสูง พบได้ตามป่าดงดิบ ประเทศฟิลิปปินส์มีกานพลูเป็นพืชประจำท้องถิ่น กานพลู ภาษาอังกฤษ เรียก clove tree มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า SyZagium aromaticum ชื่ออื่นๆของกานพลู เช่น จันจี่ ดอกจัทร์

               กานพลู เป็นพืช ชนิดไม้ยืนต้น ความสูงประมาณ 10-15 เมตร มีลำต้นตั้งตรง ใบของกานพลู เป็นใบเดียวเรียงตรงแตกกิ่งก้านสาขา ผิวมัน สีเขียว ดอกและผลของกานพลู ช่อดอกจะออกตามซอกใบ ดอกกานพลูจะมีน้ำมัน มีกลิ่นหอมและรสชาติเผ็ด ทรงกรวยยาว คุณค่าทางโภชนาการของกานพลู พบว่ามี แคลเซียม ฟอสฟอรัส ในปริมาณสูง ในดอกของการพลูสามารถสกัดน้ำมัน มีน้ำมันหอมระเหยประมาณ 20 % มีกรดแกลโลแทนนิค(gallotannic acid) ประมาณ 10% และสารโครมีนส์ (chromenes) สารคารีโอไฟลีน (caryophylline)  และกรดไตรเตอฟีน(triterpene acid) ในน้ำมันประกอบด้วย ยูยูจีนอลอะซีเตท (eugenolacetate) จีนอล (eugenol)  เป็นต้น

ประโยชน์ของกานพลู เราสามารถนำกานพลูมาใช้ประโยชน์ได้ทั้ง ดอก ใบ รายละเอียด ดังนี้
              ดอกของกานพลู สามารถนำมาใช้แก้โรครำมะนาด แก้ปวดฟัน ช่วยละลายเสมหะ แก้หอบหืด บรรเทาเลือดออกตามไรฟัน แก้ปวดท้อง แก้โลหิตเป็นพิษ รักษาเหน็บชา ขับน้ำคาวปลา แก้ท้องอืด ใบของกานพลู สามารถนำมารักษาแผลที่เกิดจากไฟไหม้ นำมาต้มเป็นน้ำใช้อาบแก้ผื่นคันได้ ใบของกานพลูมีรสชาติเย็นและจืด  น้ำมันกานพลู ดอกของกานพลูมีน้ำมันสามารถนำมาสกัดใช้เป็นยา ช่วยในการขับ บรรเทาการชักกระตุก แก้ปวดท้อง แก้ปวดฟัน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคหลายชนิด ใช้เป็นยาไล่ยุง ตลอดจนนำมาแต่งกลิ่นอาหาร เป็นส่วนผสมของ เครื่องดื่ม ขนม สบู่ และยาสีฟัน

วิธีใช้กานพลูรักษาอาการปวดฟัน สามารถทำได้โดย ใช้สำลีชุบน้ำมันกานพลู หยดในรูฟันที่มีอาการปวด หรือใช้ฟันที่ปวดคาบสำลีที่ชุบน้ำมันกานพลูไว้ ก็สามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้ดี
วิธีใช้กานพลูมากำจัดกลิ่นปาก โดย ดอมดอกกานพลูประมาณ 1-2 นาที และบ้วนทิ้ง ก็สามารถลดกลิ่นปากได้
วิธีใช้กานพลู รักษาอาการท้องอืด สามารถทำได้โดย นำดอกกานพลูมาบด และต้มน้ำรับประทาน จะช่วยให้ถ่ายง่ายขึ้น และขับลมได้ด้วย

ต้นข่อย

ต้นข่อย
            


                                                                   แหล่งที่มาภาพ : www.adirek.com
             ต้นข่อย เป็นพืชยืนต้น ชนิดหนึ่ง มีชื่อภาษาอังกฤษ ว่า Tooth brush tree ชื่อวิทยาศาสตร์ของต้นข่อย คือ Streblus asper Lour ชื่อเรียกอื่นๆของต้นข่อยอาทิเช่น กักไม้ฝอย, ตองขะแหน่ , ส้มพอ , ซะโยเส่ , สะนาย , สมนาย เป็นต้น ข่อยจัดอยู่ในพืชตระกลูเดียวกันกับขนุน


ลักษณะของต้นข่อย


              ต้นข่อย เป็นพืช ไม้ยืนต้น ที่มีขนาดเล็ก ความสูงไม่เกิน 15 เมตร มีถิ่นกำเนิดแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย สำหรับการขยายพันธ์ต้นข่อยนิยมใช้การปักชำ และการเพาะเมล็ด ส่วนของลำต้นและกิ่งก้านของต้นข่อย สามารถคดงอ และสามารถดัดได้ มีความเหนียว เปลือกบางผิวขรุขระ ที่ต้นมียาง เป็นสีขาวข้น ลักษณะเหนียว จะซึมออกมาตามเปลือกของต้นและกิ่งก้าน ซึมออกมา ใบของต้นข่อย เป็นใบเดี่ยว จะเรียงสลับตามกิ่งก้านของต้นข่อย ใบมีผิวสากๆ สีเขียว ใบหนา ลักษณะของใบจะรีและปลายแหลม ดอกของต้นข่อยจะออกดอกเป็นช่อ ดอกจะมีสีขาวปนเหลือง ซึ่งดอกจะออกตามปลายกิ่ง และซอกใบ ผลของต้นข่อย ผลมีลักษณะเหมือนไข่ ผลสดมีสีเขียว ผลแก่มีสีเหลือง ภายในผลมีเมล็ด ขนาดเท่าเมล็ดพริกไทย

สรรพคุณของต้นข่อย


              สำหรับประโยชน์ของต้นข่อย สามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น ตั้งแต่ ราก เปลือก กิ่ง เนื้อไม้ และเมล็ด รายละเอียด ดังนี้
  • กิ่งของต้นข่อย นำมาใช้แทนแปรงสีฟัน ช่วยทำให้ฟันแข็งแรง ฟันไม่ผุ ไม่ปวดฟัน
  • เปลือกของต้นข่อย มีรสฝาดและขม สามารถช่วยรักษาแผล แก้ท้องร่วง ใช้รักษาโรคผิวหนัง ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย บำรุงหัวใจ ช่วยลดไข้ ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ รักษาพยาธิที่ผิวหนัง
  • ยางของต้นข่อย มีสรรพคุณช่วยย่อยน้ำนม
  • รากของต้นข่อย มีรสฝาดและขม สามารถนำมารักษาแผล เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้โรคคอตีบ รักษาโรคกระดูก แก้ปวดเส้นประสาท แก้ปวดเส้นเอ็น ใช้ฆ่าพยาธิได้ รักษาอาการไอ ขับเสมหะ แก้เจ็บคอ รักษาเหงือก แก้ปวดฟัน
    เนื้อไม้ของข่อย สามารถนำมารักษาริดสีดวงจมูก
  • ใบของข่อย มีรสฝาดและมีฤทธ์ทำให้เมาได้ เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน แก้โรคไต ขับน้ำนม แก้บิด ช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาอาการไอ ขับเสมหะ แก้เจ็บคอ รักษาเหงือก แก้ปวดฟัน
  • เมล็ดของข่อย มีรสมัน มีฤทธิ์ทำให้เมา สรรพคุณช่วยเจริญอาหาร เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยฆ่าเชื้อในช่องปากและทางเดินอาหาร ช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาอาการไอ ขับเสมหะ แก้เจ็บคอ รักษาเหงือก แก้ปวดฟัน
  • ผลของต้นข่อย มีรสหวาน มีฤทธิ์ทำให้เมาและร้อน สรรพคุณช่วยบำรุงธาตุ แก้กระษัย ขับลม เป็นยาอายุวัฒนะ

ข้อควรระวังสำหรับการใช้ข่อยด้านสมุนไพร

           สารสกัดจากข่อยมีความเป็นพิษ หากถูกฉีดเข้าเส้นเลือด จะส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ และหัวใจ รวมถึงความดันของเลือด ทำให้เสียชีวิตได้ มีการสะกัดสารเคมีจากต้นข่อยและนำไปทดลองกับหนู พบว่าหนูมีอาการชัก และเสียชีวิต จากที่กล่าวมาข้างต้น ข่อยมีฤทธ์ทำให้เมา หากใช้ไม่ถูกวิธีก็เป็นอันตรายต่อชีวิตได้